
วันนี้รีวิวโฟร์ยูจะพามาดูเรื่องเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ติดผนัง เป็นตัวช่วยดับร้อนในฤดูร้อน สำหรับใครต้องการติดแอร์ดับร้อน ลองมาดูเทคนิคการเลือกซื้อแอร์ ที่การันตีด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นตัวเลือกช่วยในการตัดสินใจกัน
แอร์ประหยัดไฟ ควรเลือกซื้อแบบไหน
1. การเลือก btu แอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง

สิ่งที่ต้องเลือกเป็นอันดับแรกก่อนซื้อแอร์ คือ เลือก BTU แอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง อธิบายคร่าว ๆ BTU คือ BTU คือ ค่าความสามารถในการถ่ายเทความร้อนออกจากห้อง เช่น แอร์ขนาด 20,000 BTU หมายถึงแอร์เครื่องนี้สามารถไล่ความร้อนออกจากห้องได้ 20,000 BTU ภายใน 1 ชั่วโมง แต่ไม่ได้แปลว่าแอร์ BTU สูง จะให้ความเย็นฉ่ำได้มากกว่า เพราะถ้าคุณเลือกแอร์ BTU สูง ๆ ไปใช้กับห้องขนาดเล็ก ๆ ก็ทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน และทำให้ค่าไฟแพงได้เหมือนกัน นี้คือเหตุผลที่ควรเลือก BTU แอร์ให้เลือกตามความเหมาะสมกับขนาดห้องเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วเครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง หรือเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กจะมีขนาดมาตรฐานการผลิตเริ่มต้นที 9,000 BTU ถึง 24,000 BTU
ห้องขนาด 9 – 12 ตร.ม. หรือห้องนอนขนาดเล็ก ควรใช้เครื่องปรับอากาศ 9,000 BTU
ห้องขนาด 12 – 16 ตร.ม. หรือห้องขนาดมาตรฐานของคอนโดมิเนียมทั่วไป ควรใช้เครื่องปรับอากาศ 12,000 BTU
ห้องขนาด 16-24 ตร.ม. หรือห้องแบบสตูติโอ ควรใช้เครื่องปรับอากาศ 18,000 BTU
ห้องขนาด 24 – 32 ตร.ม. หรือห้องโถงในบ้าน/ห้องสตูติโอขนาดใหญ่ ควรใช้เครื่องปรับอากาศ 24,000 BTU
2. การเลือกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5

คือฉลากที่บ่งบอกระดับการใช้ไฟฟ้าและข้อมูลเบื้องต้นต่าง ๆ เป็นฉลากการันตีว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องนี้จะช่วยประหยัดพลังงาน และลดค่าไฟลงได้ สิ่งที่ต้องสังเกตเพิ่มคือ ในฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ จะมีการติดดาว เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ซึ่งดาวนั้นจะแบ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าออกเป็น 4 ระดับ คือ เบอร์ 5 : 1 ดาว, เบอร์ 5 : 2 ดาว, เบอร์ 5 : 3 ดาว, เบอร์ 5 : 4 ดาว วิธีการเลือกง่าย ๆ คือ ยิ่งมีดาวเยอะก็จะยิ่งช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้น
3. การเลือกแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter)

โดยหลักการทำงานของระบบอินเวอร์เตอร์ จะทำให้อุณหภูมิห้องค่อย ๆ ลดลงถึงระดับความเย็นเหมาะสมที่กำหนด จากนั้นคอมเพรสเซอร์แอร์จะลดรอบการทำงานลง เพื่อคงความเย็นและทำให้อุณหภูมิห้องคงที่ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นแอร์ระบบปกติที่ไม่ใช่อินเวอร์เตอร์ เมื่ออุณหภูมิในห้องเย็นลงแล้ว คอมเพรสเซอร์แอร์จะตัดการทำงาน หลังจากนั้นอุณหภูมิให้ห้องก็จะค่อย ๆ สูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงคอมเพรสเซอร์จะกลับมาทำงานอีกครั้ง เพื่อลดอุณหภูมิให้ต่ำลง ทำงานซ้ำไปซ้ำมา ห้องก็จะร้อน ๆ หนาว ๆ และแอร์ก็จะใช้ไฟใช้พลังงานมากขึ้น ที่แตกต่างจากการใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์
4. ดูค่า SEER

สำหรับค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) เป็นตัวช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ มีในเครื่องปรับอากาศชนิด Inverter หรือ Variable Speed ที่จะพ่วงมาด้วยค่าวัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามฤดูกาล คุณสามารถสังเกตได้บนฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ยิ่งค่า SEER สูง แปลว่าประสิทธิภาพสูง และช่วยประหยัดไฟ ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น อ่านบทความเพิ่มได้ที่ ล็อตโต้สด
